หากคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจ และกำลังกังวลว่าสินค้าของคุณจะติดตลาดไหม จะมีคนสนใจแค่ไหน หรือจะมีคนต้องการหรือไม่? สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้ คือ การทำ “Minimum Viable Product (MVP)” ออกมาทดลองกับตลาดดู
“Minimum Viable Product (MVP)” คืออะไร ? “Minimum Viable Product” คือ การสร้าง Product ขึ้นมา โดยให้มี Functions และ Features น้อยที่สุด เท่าที่จะขายได้ในตลาด (ก็คือถ้าทำอะไรได้น้อยกว่านี้ก็คงขายไม่ออกแล้ว) แล้วลองนำออกมาวางขายดู
ในช่วงแรกของการสร้างสรรค์สินค้า คุณอาจจะมีไอเดียเจ๋ง ๆ มากมาย แต่สิ่งที่คุณยังไม่มี คือ ความคิดเห็นจริงจากลูกค้า การทำ MVP จะช่วยให้คุณรู้ว่า กลุ่มลูกค้าคิดอย่างไรกับสินค้าตัวนี้ สนใจมันมากแค่ไหน และถ้าแนวโน้มมันดี คุณจะพัฒนามันต่อไปในทางไหน?
เช่น ถ้าเป้าหมายหลักของคุณ คือการทำให้เด็ก ๆ นอนหลับฝันดี คุณอาจสร้างตุ๊กตาที่มีเสียงเพลงกล่อมเด็ก (MVP) ออกมา ส่งขายในตลาด รอดู Feedback แล้วในภายหลังคุณค่อยสร้างตุ๊กตารูปหมีที่มีเสียงเพลงกล่อมเด็ก อัดเสียงได้ เปิดวิทยุได้ เป็นไฟฉายได้ ขึ้นมาในภายหลังตาม Feedback ที่คุณได้รับจากลูกค้า
Feedback จากลูกค้า คือเหตุผลที่ Startup ควรทำ MVP ออกมาทดลองตลาด ก่อนจะมุ่งไปสร้างสินค้า Full-Option เพื่อสู้กับเจ้าอื่น และต้องไม่ลืมว่า MVP คือสินค้าที่มีฟังก์ชันน้อยที่สุด (เหมือนเป็นไอเดียแรกสุดของสินค้า) ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าที่ดีที่สุดที่คุณคิดได้ในขณะนั้น
ตัวอย่างที่ดีของการทำ “Minimum Viable Product” คือ GoPro Nick Woodman (ผู้คิดค้น GoPro) ค้นพบว่า นักโต้คลื่นจำนวนมาก มักจะซื้อกล้องถูก ๆ แบบใช้แล้วทิ้ง เพื่อเอาไปถ่ายภาพโคลสอัพตอนที่พวกเขาเล่นน้ำ เพราะมันถูก ต่อให้พังก็ไม่เสียดาย Nick จึงตัดสินใจผลิตกล้องแบบกันน้ำขึ้น โดยให้ตัวกล้องติดอยู่กับข้อมือ เพื่อให้นักกีฬาสามารถใช้กล้องตัวนี้เก็บภาพได้สะดวกขึ้น เขาวางขายสินค้าชิ้นนี้ในปี 2005 และ บู้ม! ยอดขายของมันบอกชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่ตลาดต้องการ Nick พัฒนา GoPro ต่อมาเรื่อย ๆ เพิ่มเติมด้วยอุปกรณ์เสริมอีกมากมาย มูลค่าของ GoPro พุ่งขึ้นสูงสุดในปี 2012 ที่ 2.25 พันล้านดอลลาร์ (หรือราว ๆ 71.26 พันล้านบาท) แม้ในปี 2016 ที่บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาการเงิน สินค้าของพวกเขาก็ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่นักกีฬาทั่วโลกอยู่ดี ที่มา https://neilpatel.com/blog/things-startup-needs-stop-immediately