ในสถานการณ์ที่คนไทยติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มเกินร้อยรายต่อวัน ทำให้รัฐต้องออกมาตรการที่จำกัดพื้นที่ ควบคุมการรวมตัว และพรก.ฉุกเฉิน ทั้งหมดเพื่อให้การแพร่ระบาดอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ย้ำ! ว่าจำเป็นมาก!! 

ไม่ใช่เพราะไวรัส COVID-19 ร้ายแรงกว่าโรคอื่น แต่เพราะระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมรับต่อจำนวนผู้ป่วยที่มากหลักพัน หลักหมื่น ดูตัวอย่างหลายประเทศในยุโรป หรืออเมริกาที่ร่ำรวยกว่าประเทศเรา มีงบประมาณหรือระบบสาธารณสุขที่ดีกว่าเรา ยังแทบจะไม่สามารถรับมือคนไข้ที่เริ่มพุ่งถึงหลักหมื่นได้

คงไม่มีใครอยากเห็นภาพที่แพทย์ต้องเลือกว่าจะรักษาหรือไม่รักษาใคร เพราะบุคลากร อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือห้องพักไม่เพียงพอ อันนี้จะเป็นเรื่องน่าหดหู่ที่สุดถ้าเกิดขึ้นจริง

เราจะสามารถควบคุมไวรัส COVID-19 ได้เมื่อใด?

ผมว่าถ้าถามกันตอนนี้คงไม่มีใครตอบได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ COVID-19 จะไม่หายไปไหน ในอนาคตเมื่อเราคุมมันได้ เราจะอยู่กับไวรัสตัวนี้ในฐานะโรคทั่วไป อาจจะเป็นแค่โรคประจำถิ่น แต่มันจะไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราเหมือนปัจจุบัน

แต่กว่าจะถึงจุดนั้น โลกเราต้องมี Herd Immunity หรือ “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่จะทำให้การแพร่ระบาดไม่สามารถก้าวจากคนต่อคนไปได้รวดเร็วเสียก่อน

การเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือ Herd Immunity เกิดได้ ผ่านการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายเองหลังจากที่รับเชื้อเข้าไป คนที่เคยเป็นแล้ว ร่างกายก็จะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ติดได้ยากขึ้น หรือความรุนแรงของอาการลดลง อีกวิธีที่คนทั้งโลกรอคอย ก็คือการสร้างวัคซีน ซึ่งแน่นอนว่ามนุษย์เราจะสามารถสร้างวัคซีนต้าน COVID-19 ได้อย่างแน่นอน แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกพักใหญ่

ถ้ามองย้อนสงครามระหว่างมนุษย์และไวรัสในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เพื่อจะพยายามหาคำตอบของทางออก เราได้อะไรมาบ้าง

ปี 1918 (พ.ศ. 2461) เกิดไข้หวัดสเปน เป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่อยู่ในสายพันธุ์ H1N1 และเป็นการแพร่ระบาดที่แปลกประหลาดในช่วงนั้นเพราะผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนสุขภาพดี แทนที่เป็นเด็กหรือคนสูงอายุ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะภูมิคุ้มกันสร้างปฏิกิริยามากเกินไป ทำให้เกิดความเสียหายถึงขั้นเสียชีวิต ไข้หวัดสเปนระบาดหนักอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็กลายเป็นโรคประจำถิ่น ที่มีการระบาดบ้างแต่ไม่ร้ายแรง

ปี 1956 (พ.ศ. 2499) เกิดไข้หวัดใหญ่เอเชีย อยู่ในสายพันธุ์ H2N2 เริ่มต้นที่ประเทศจีนและติดไปในหลายประเทศอย่างในฮ่องกง สิงคโปร์ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ระบาดอยู่ 2 ปี ก็เริ่มหยุดการแพร่ระบาด

ปี 1968 (พ.ศ. 2511) เกิดไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง เพราะเริ่มแพร่ระบาดในฮ่องกง อยู่ในสายพันธุ์ H3N2 แม้ว่าจะมีความร้ายแรงน้อยกว่า แต่มีการแพร่ระบาดในวงกว้าง ในฮ่องกงมีผู้ติดเชื้อประมาณ 15% ของประชากร ระบาดอยู่นานกว่า 1 ปี ก่อนที่จะเริ่มหยุดการแพร่ระบาด

ปี 2005 (พ.ศ. 2548) โลกรู้จักไวรัส HIV หรือโรคเอดส์ ตั้งแต่เริ่มการระบาด เชื่อว่ามีผู้ติดเชื้อมากกว่า 35 ล้านคนทั่วโลก แต่ในที่สุดเราก็สามารถผลิตยาต้านไวรัส และทำให้อัตราการเสียชีวิตต่ำลง ประกอบกับการตื่นตัว และการรณรงค์ต่อเนื่องทำให้การแพร่ระบาดอยู่ในระดับที่จัดการได้

ปี 2009 (พ.ศ. 2552) เกิดไข้หวัดใหญ่ 2009 อยู่ในสายพันธุ์ H1N1 แพร่ระบาดในทวีปอเมริกา WHO ระบุว่าไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นโรคอุบัติใหม่ มีการแพร่ระบาดอยู่ในระยะเวลาไม่นาน แต่มีผู้ติดเชื้อจากหลายประเทศ และเราก็สามารถจำกัดการระบาด ผ่านมาตรการสำคัญหลายประการ

ดังนั้นทางออกจาก COVID-19 จริง ๆ ในช่วงเวลานี้ที่เราจะทำได้คือการ “หน่วง” ให้การแพร่ระบาดช้าที่สุด เพื่อให้ระบบสาธารณสุขเรารับไหว รอจนเราสามารถสร้างวัคซีนหรือมีผู้หายป่วยจนสร้างภูมิคุ้มกันได้จำนวนมาก การแพร่ระบาดก็จะเริ่มลดลงไปเอง

เข้าใจว่าในช่วงอายุของพวกเราส่วนใหญ่ ยังไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต แต่ถ้ามองย้อนไปในหลายรุ่นก่อนหน้าเรา มนุษย์ผ่านโรคระบาดขนาดใหญ่ ผ่านการสู้รบกับไวรัสที่น่ากลัวมาหลายครั้ง แม้ในวันที่วิทยาการทางการแพทย์ยังไม่ล้ำสมัยเหมือนปัจจุบัน ท้ายสุดเราก็เป็นผู้ชนะ และถ้า COVID-19 จะเป็นสงครามไวรัสในยุคของเรา ที่มีอาวุธทางการแพทย์เหนือกว่าคนรุ่นก่อน ผมเชื่อว่าเราก็จะต้องชนะได้อีกครั้ง